การคุยกัน

การคุยกัน หรือการแลกเปลี่ยน แบ่งออกได้เป็น
การคุยที่ก่อให้เกิดการแตกความคิด และ
การคุยที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการแตกความคิด

แต่ถึงบางทีถึงจะไม่แตกความคิด แต่เราก็ต้องคุยกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน
หรือเป็นการบอกให้อีกฝ่ายรับรู้

... เขียนอะไรอยู่เนี่ย
(ว่างมากรึไงนิ)...
.
.
.
นั่งเงียบๆดีก่า

กาลครั้งหนึ่ง...ที่ดอยอินทนนท์

กลับมาจากทำค่ายให้เด็กรอบนี้ รู้สึกดีจังที่เห็นเด็กกล้ากันมากขึ้นมาก กล้าคิด กล้าแสดงความเห็นของตัวเอง มีพัฒนาการมากขึ้นจนเห็นได้ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แค่ 4 วัน แอบปลื้มใจกับความสำเร็จในกิจกรรมของทีมเรา ที่นอกจากน้องๆจะชอบแล้ว ยังสามารถสร้างภาวะผู้นำไปจนทักษะอื่นๆ เช่น ความเสียสละ การคิดถึงคนอื่นให้เกิดขึ้นได้ ..ตัวเราเองได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย

เด็กๆค่ายนี้มีทั้งเด็กเมืองและเด็กชาวดอยชนเผ่า แรกๆน้องๆก็มีเขิน ไม่กล้าคุยกัน โดยเฉพาะน้องชาวดอย แต่พอได้ผ่านกิจกรรมด้วยกันไป ได้ลำบากด้วยกันไปสักระยะ ช่วงหลังมีบางเกมที่น้องเล่นด้วยกัน และมีภาวะกดดันเพื่อให้เกิดการทำงานเป็นทีม เราประทับใจมากๆ เลย ขำก็ขำตลกดี ขำแต่น้ำตาคลอเลย... คือ มันเป็นเกมที่ต้องพากันข้ามแม่น้ำสมมติไปให้หมดทั้งทีม แข่งกัน แล้วน้องคนตัวโตคว้าตัวเล็กขึ้นหลังแบกไปด้วยเลย น่ารักมากๆ

ค่ายนี้จัดร่วมกับกระทรวงฯ จึงมีการติดต่อเอาพี่เลี้ยงเป็นน้องๆจากคณะครุ ราชภัฎเชียงรายและอุบลมาช่วย รู้สึกว่าน้องเค้ามีความใส่ใจเด็กๆดีจัง มีการสังเกตและแก้ปัญหาของเด็กๆ ประทับใจมากเลย อาจจะด้วยเราไม่ค่อยได้ทำงานกับคนที่จบด้านสังคมศาสตร์เท่าไหร่ เคยคิดว่าคงคิดอะไรต่างไปจากเราอย่างสุดขั้วแน่ๆ พอเจอจริง ก็ต่างจริงน่ะแหละ แต่น้องเค้าจะมองอีกด้านในรายละเอียดที่ควรใส่ใจ ที่เราขาดไป อาจด้วยความตั้งใจจริงของน้องพี่เลี้ยงเค้านั่นแหละ เราเลยรู้สึกว่ามันมาช่วยเติมกันได้พอดี... มีน้องพี่เลี้ยงอยู่คนเป็นชาวปกากะญอด้วย แต่เก่งมากๆ น้องเค้าก็พูดแบบฮาๆว่า หนูนี่เป็นความหวังของหมู่บ้านเลย

อีกเรื่องที่อยากเล่าคือว่าค่ายนี้มีให้เตรียมกล่องข้าวมา ใครไม่มีทางค่ายมีขาย ทีนี้เราก็มีขายน้องชาวดอยเค้าไป แต่น้องเค้ายังไม่มีเงินติดตัว (คือน้องชาวดอยเค้าก็ไม่ค่อยมีเงิน) เสร็จแล้วเราก็ลืมๆกันไป อีก2วันต่อมาน้องเค้าก็มาถามว่า จะจ่ายเงินค่ากล่องข้าวได้ที่ไหนครับ คือไอ้เราก็ลืมไปตั้งนานแล้ว ประทับใจในความซื่อสัตย์ของน้องเค้ามากเลย

ดีใจ รู้สึกว่าสี่วันนี้ของเรามันมีค่า :)

ทิ้ง ทิ้งกันไป ฉันคงจะหลงลืมเธอสักวัน

วันนี้ เราจะมาว่ากันถึงสิ่งที่เรา ทิ้ง ทิ้งกันอยู่ตลอด
ไม่มีใครไม่เคยทิ้ง
นั่นคือ..สิ่งที่เราเรียกกันว่า ขยะ นั่นเอง

เคยรู้กันบ้างไหมว่า เราทิ้งมันไปแล้ว มันจะไปอยู่ที่ไหน
หรือว่าแค่ทิ้งให้พ้นไปจากบ้านเรา จากมือเรา

จากกฎการคงที่ของมวล
ทุกสิ่งในโลกจะคงอยู่เท่าเดิม เพียงแปรสภาพไปมาเท่านั้น

สิ่งที่เราทิ้งกันส่วนใหญ่ในวันหนึ่งๆ จะมีส่วนที่ไม่ค่อยจะแปรสภาพ หรือแปรได้ช้ามากๆ
ซึ่งก็แปลว่า มันคงอยู่

...แล้วมันไปอยู่ที่ไหนล่ะ เราตั้งหลายคน เกิดมาคนละตั้งหลายปีแล้ว
ทิ้งอะไรต่ออะไรไปตั้งมากมาย

จริงอยู่ว่าเทคโนโลยีจัดการขยะในปัจจุบัน มีการพัฒนาไปมาก
แต่ขยะอันมหาศาลที่เกิดขึ้นก็เป็นโจทย์ที่ยากที่จะตอบ

บางทีไม่ใช่แค่จำนวนมาก แต่ยังเป็นพิษอีกด้วย

ดังเช่นกรณีที่บ้านของชาวสระบุรี ซึ่งถูกใช้เป็นที่กำจัดขยะ เกิดปัญหามากมาย ทนไม่ไหวออกมาประท้วง

พลังงานแสงตะวัน

หรือ แสงอาทิตย์ หรือ Solar energy น่ะเอง
จริงๆ เราก็ใช้มันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาโน่น จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเริ่มแต่เมื่อไหร่ ที่เห็นชัดๆ ก็ได้แต่การตากอาหาร ตากปลา ตากกุ้ง ตากหมู ตากเนื้อ ตากใบชา ตากผลไม้ ตากทุกอย่าง การทำเกลือ ไปจนถึงตากเสื้อผ้า หรือตากผิว (ในกรณีชาวยุโรปชอบทำผิวแทน)
เมืองที่มีอากาศหนาว มักจำเป็นต้องใช้เครื่องอบแห้ง เช่น เครื่องล้างอบจาน เครื่องปั่นผ้าแห้ง หรือกระทั่งเครื่องทำความร้อน แต่เมืองไทยของเราไม่ต้อง! เพราะมีแสงแดดซะอย่าง สบายไปแปดอย่าง

เมืองร้อนอย่างเรา มีทรัพยากรแสงแดดนี้อย่างล้นเหลือ มีทุกวัน วันละ 8 ชั่วโมง (แรงมากน้อย.. แล้วแต่) ยิ่งเกิดรูโหว่โอโซนอย่างนี้ ยิ่งมีเยอะใหญ่ ถ้ามองข้ามข้อเสียเรื่องมะเร็งผิวหนังแล้ว ...มาช่วยกันคิดดีกว่าว่า เราจะใช้ประโยชน์อะไรจากมันได้บ้าง

ไหนๆ ธรรมชาติก็ให้เรามาฟรีๆ ตั้งเยอะ เราน่าจะใช้ให้คุ้ม ใช้แทนส่วนอื่นๆที่มันกำลังจะหมด และจะใช้ยังไงให้ถูกที่สุด

โลกาภิวัฒน

อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณโจน จันได รู้สึกสะท้อนใจดี ได้ตัดตอนมาบางส่วน...

"ผมกลับไปอยู่บ้าน แต่ผมไม่ได้อยู่แบบชาวบ้าน เพราะชาวบ้านทั้งหลายเขาปลูกเพื่อขาย ผมมองเห็นว่ายิ่งปลูกเพื่อขายก็ยิ่งไม่เหลืออะไร ผมมองเห็นภาพของชาวบ้านเหมือนกับทาสคนหนึ่งที่เกิดขึ้นมามีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อนายทาสอย่างมาก มากจนไม่คิดถึงตัวเอง เพราะว่าทุกวันนี้ชาวบ้านทั้งหมดทำงานเพื่อคนอื่นทั้งสิ้น ไม่มีใครทำงานเพื่อตัวเอง คนในเมืองก็ไม่ต่างกัน เป็นทาสที่น่าสงสารมาก ทุกวันนี้เราทำงานหนักยิ่งกว่าทาสทุกยุคทุกสมัย เราทำงานหนักแล้วเราไม่ได้อะไรเลย เรากินอะไรก็ได้เพื่อให้เรามีเวลาทำงานมากขึ้น กินมาม่าทุกวัน กินบะหมี่ กินอะไรง่ายๆ โดยไม่ได้คิดถึงสุขภาพเลย กินปลากระป๋อง กินทุกวันเพื่อจะได้มีเวลาทำงาน

พอมีลูก เราก็ผลักลูกเข้าโรงเรียนเลย เพื่อที่เราจะได้มีเวลาทำงาน ทั้งที่ลูกมันอยากอยู่กับพ่อแม่ อยากจะเรียนรู้ความรักจากพ่อแม่ แต่เราก็ผลักลูกไปโรงเรียนหมด เราไม่ได้มีครอบครัวอีกแล้ว เราปลีกตัวออกมาเพื่อที่จะไม่ได้มีภาระ เพื่อที่จะได้ทำงานมากขึ้น"