Oct 8, 2007
แรงใจไม่มีวันหมด ...คน(บ้า)ปลูก
Oct 8, 2007
เรื่องจาก http://www.businessthai.co.th/
ด.ต.วิชัย สุริยุทธ ปัจจุบันเป็นผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สภอ.ปรางค์กู่ จังหวัดศรีษะเกษ เป็นอำเภอที่ถูกจัดอันดับให้เป็นอำเภอยากจนที่สุดในประเทศ อดีตเคยมีข่าวว่าเด็กอดอยากถึงขนาดต้องกินดิน ..
ทุกวันก่อนและหลังเลิกเวลางาน นายดาบตำรวจวิชัย จะบิดมอเตอร์ไซค์ขนกล้าไม้ไปปลูกตามข้างถนน ลานวัดป่าช้า ที่ดินสาธารณะ ชายขอบที่ดินเป็นแนวรั้ว มาเป็นเวลาถึง18 ปี ในผืนดินที่ไม่ใช่ของเขา ในสายตาของชาวบ้านที่เรียกเขาว่า “คนบ้า”
แรกๆ ชาวบ้านก็หัวเราะเยาะ แต่เดี๋ยวนี้ชาวบ้านได้เก็บกินดอกผลที่เขาทำเอาไว้ นายดาบวิชัยไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการทำบุญเพื่อส่วนรวม ในทัศนะของเขา
“...จะพัฒนาใครเขา ต้องพัฒนาตัวเราก่อน เพื่อให้ชุมชนนำไปเป็นตัวอย่าง ที่เลือกปลูกต้นไม้เพราะให้เราพึ่งตนเองอย่างมีศักดิ์ศรีโดยไม่เบียดเบียนใคร ขอให้มีความขยันอย่างฉลาด ไม่ข้องแวะอบายมุข เป็นภารกิจที่ต้องร่วมกันแก้ไข เราก็จะมีเพื่อนบ้านที่ดี...”
เขาเลือกยางนา พญาไม้เนื้ออ่อน ที่โรยหว่านเมล็ดพันธุ์เป็นที่อยู่ของนกกา พอเติบใหญ่ก็นำมาแปรรูปสร้างบ้านเป็นพื้น เป็นฝาบ้าน ต้นตาลคือพันธุ์ไม้ต่อมาที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งในพื้นที่ได้ดี ยังมีต้นคูน เป็นไม้เนื้อแข็งใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เมล็ดพันธุ์ที่เขาเฝ้าเก็บเมล็ดเพาะเป็นต้นกล้า แบกจอบขุดดินไปตามที่สาธารณะไปทั่วทั้งหมู่บ้าน และยังมีการทำนาปีลักษณะของไร่นาส่วนผสมเก็บผลผลิตกินได้ตลอดทั้งปี
“...ต้นถ่อนโตเร็ว เป็นไม้แปรรูป เก็บใบกินได้ น้ำมันต้นยางนาไปผสมกับชัน ใช้ในการต่อเรือได้ ขณะที่ต้นตาลทนไฟลามทุ่งได้ดีเยี่ยม พอไฟมอดมันก็ฟื้นคืนสภาพขึ้นใหม่ได้ จะออกดอกให้ผลในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ .....เปรียบได้ชีวิตคนกับต้นตาล ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานลงกี่ครั้ง ขอให้เผชิญหน้ากับปัญหา ท้อได้แต่อย่าถอย ยืนหยัดให้ได้เสมือนเช่นต้นตาล...”
“...ทำดีแล้วย่อมเกิดมรรคผล ก็ทำต่อไปเถอะครับอย่าไปท้อแท้ กาลเวลาพิสูจน์ได้ ผมมีความสุขในสิ่งที่ผมทำ ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ชาวบ้านมีอยู่มีกิน ผมก็ดีใจ”
วันนี้ชาวบ้านพร้อมใจกันลงมติ จากการที่เห็นถึงพลัง ความตั้งใจที่ไม่มีวันมอดของเขา โดยนำเป็นคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “ปรางค์กู่อยู่ในป่ายาง กลางดงตาล บานสะพรั่งดอกคูน บริบูรณ์ไร่นาสวนผสม”
2 comments:
เพลโต ปราชญ์ชาวกรีกครั้งหนึ่งได้เดินทะเลยามเย็น เนื่องจากวันก่อนมีมรสุมเข้าจึงทำให้มีปลาดาวนับพัน ๆ ตัวเกยตื้น และไม่นานปลาดาวเหล่านั้นก็จะตาย เพราะสัมผัสกับอากาศนานเกินไป เพลโตมองเห็นสภาพดังนั้นก็ได้แต่รู้สึกเวทนาชีวิตปลาดาวเหล่านั้น สักพักหนึ่งก็มีเด็กชายคนหนึ่งเดินมาที่ชายหาดและจับปลาดาวทีละตัว ขว้างลงไปในทะเล เพลโตนั่งดูเด็กน้อยคนนั้นขว้างปลาดาวอยู่สักพัก จึงสงสัยว่าเด็กคนนั้นทำไปเพื่ออะไร จึงได้เดินลงไปบนชายหาดและถามเด็กน้อยคนนั้นว่า "เจ้าขว้างปลาดาวไปเพื่ออะไร" เด็กน้อยตอบเพลโตว่า "ข้าอยากช่วยชีวิตปลาดาว" เพลโตหัวเราะร่าแล้วพูดกับเด็กน้อยคนนั้นว่า "การกระทำของเจ้าเช่นนี้ไม่อาจจะช่วยปลาดาวเหล่านี้ได้หรอก หากเจ้าทำเพียงลำพัง" เด็กน้อยคนนั้นไม่ตอบในทันที แต่หยิบปลาดาวตัวหนึ่งขว้างลงทะเล แล้วจึงพูดว่า "ท่านเห็นไหม อย่างน้อยข้าก็ช่วยปลาดาวได้อีกตัวหนึ่ง" เพลโตนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะใช้มือหยิบปลาดาวขว้างลงทะเลอีกตัวหนึ่ง แล้วพูดกับเด็กน้อยคนนั้นว่า "จริงของเจ้าทีนี้ข้าก็ช่วยได้อีกหนึ่งตัวละ" ทั้งสองช่วยกันขว้างปลาดาวลงทะเลยอยู่พักใหญ่ ก็มีชาวบ้านศิษย์ของเพลโตเข้ามาไต่ถาม และช่วยกันขว้างปลาดาว จากเด็กน้อยคนหนึ่ง กลายเป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งช่วยกันขว้างปลาดาวลงทะเลจนอาทิตย์อัสดง ณ ตอนพลบค่ำ เด็กน้อยคนนั้นกับเพลโตกนั่งลงที่ชายหาดด้วยความเหนื่อยล้า แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยปลาดาวได้ทั้งหมด แต่ก็รู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำอย่างสุดกำลังที่มี และเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีก็จะค่อย ๆ มีคนเชื่อและเข้ามาสนับสนุนในที่สุด เพลโตถามเด็กน้อยคนนั้นว่า เจ้าชื่ออะไร เด็กน้อยตอบเพลโตอย่างสุภาพว่า "อริสโตเติล"
:)
...
มาตอบเร็วจัดเลยนะ
ไม่หลับไม่นอน
Post a Comment