Jul 9, 2007
เมื่อความศิวิไลซ์โจมตีข้าพเจ้า ตอน 1
Jul 9, 2007
ตอนแรกกะจะเขียนภาษาอังกฤษ แต่ช่างมันละกัน เขียนไทยมันกว่า เราคนไทย ใช้ภาษาไทยเด้อ
ตอนนี้ผมอายุ ... (เติมเอาเอง) ปีแล้ว เข้ามาอยู่กรุงเทพนานมากแล้ว จนชาชินกับชีวิตในเมือง
ชีวิตตลกๆ ที่ผมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น
คนเมืองจะลำบากถ้า
- ไม่มีตัง
- ไม่มีรถ
- ไม่มีมือถือ
- ไม่มีไฟฟ้า
- ไม่มีร้านขายข้าว
- etc.
ที่น่าขำคือผมเคยอยู่มาโดยไม่มีสิ่งเหล่านั้น และชีวิตผมโคตรจะมีความสุขกว่านี้
อ๊ํะ - ตอนนี้ตังกะรถผมยังบ่มีแฮะ
แต่ตอนนี้ผมก็เหมือนคนเมืองทั่วไป กระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่ ตามหาสิ่งต่างๆเหล่านั้นไป
ตั้งแต่เล็กผมอยู่กับแม่ที่บ้านปู่ เพราะพ่อผมต้องไปทำงานเมืองนอก เพื่อหาตังส่งเสียผมให้เข้ามาเรียนเพื่อโตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคนแบบคนเมือง
ด้วยความรับผิดชอบต่อครอบครัวของพ่อ ที่เคยสัญญากับแม่ไว้ก่อนจะตัดสินใจมาเป็นสามีภรรยากันว่าจะไม่ให้แม่ต้องลำบาก ไม่ให้แม่ต้องทำงาน ทำให้พ่อต้องไปอยู่ห่างแม่ไกลแสนไกลถึงซาอุ ไปทำงานเป็นช่างอลูมิเนียม ส่งเงินมาให้ที่บ้านปีละ 2-3 แสน (สมัยนั้นก็มากอยู่ สำหรับคนจบป.4อย่างพ่อ) พ่อคิดถึงแม่ คิดถึงผม ก็ส่งจดหมาย พร้อมอัดเสียงส่งมาให้ผมกับแม่ ของแม่พ่อก็จะร้องเพลงลูกทุ่งหวานๆส่งมาให้ ส่วนของผมพ่อจะส่งนิทานก่อนนอนมาให้ ผมไม่รู้ว่าพ่อทำได้อย่างไร แต่พ่อมีนิทานเล่าให้ผมฟังไม่รู้จบ ... พ่อครับ ผมรักพ่อ ...
ผมอยู่กับแม่จนจำหน้าพ่อแทบไม่ได้ พ่อกลับมาปีละครั้ง ผมเฝ้ารอ ของเล่นจากพ่อ เฝ้ารอนิทานก่อนนอนจากพ่อทุกปี
แม่ผมเป็นผู้หญิงบ้านนอก(คำนี้เป็นคำที่มีเกียรติสำหรับผมนะ) เป็นคนอดทน ไม่มีปากเสียง ไม่ดุ เป็นคนเงียบๆ บางทีก็ดูเศร้าๆ แม่ดูแลผมขณะพ่อไม่อยู่อย่างเข้มแข็ง แม่ไม่ร้องไห้บ่อยนัก แต่ผมก็เห็นบ้างบางครั้ง ผมในตอนนั้นก็มีความรู้สึกแบบเด็กๆว่าจะต้องดูแลแม่ไม่ให้ใครมาทำอะไร มีอยู่ปีนึงหมูบ้านจัดงานอะไรซักอย่าง แม่ออกไปรำวง มีผู้ชาย (ญาติๆกันแหละ) มารำคู่ การรำวงคู่กันก็คล้ายๆเต้นรำแหละ ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องชู้สาวมาเกี่ยว แต่จำได้ว่าตอนนั้นผมโกรธๆในใจแบบแปลกๆ เหมือนจะหึงแม่ไว้ให้พ่อมั้ง หะๆๆ ตลกดี ... แม่ครับ ผมรักแม่ ...
ที่ต้องอยู่บ้านปู่เพราะตอนนั้นผมยังไม่มีบ้าน ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่พ่อต้องไปหาตัง แล้วปีหนึ่ง พ่อก็กลับมาปลูกบ้าน จำได้ว่าใช้เงินไป 2 แสน (ตอนนี้พ่อยังคุยอยู่เลยว่า ไม้ที่ทำบ้านผม แยกออกมาทำบ้านได้อีกหลัง) แล้วพ่อก็กลับมาอยู่กับเราแม่ลูก กลายเป็นครอบครัวขึ้นมา
ตอนสร้างบ้านนั้น ขณะยังไม่เสร็จ ผม พ่อ แม่ นอนกันในเล้าไก่ แยกโซน ไก่ด้าน คนด้าน ไฟฟ้าตอนนั้นไม่มี ตกกลางคืนเราจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าด ซึ่งเด็กๆจะชอบเล่นมาก มันดูสวย และที่สำคัญ มันมีไฟ ตะเกียงน้าัมันก๊าดนั้นทำได้จากหลายอย่าง เช่นกระป๋องแป้งใช้แล้ว ทำฝาปิดที่มีรูตรงกลางเอาไว้ใส่ไส้ ไส้ตะเกียงทำจากผ้าอะไรก็ได้ แต่ที่นิยมกันก็คือผ้าห่มเก่าๆ (เรียกกันว่าผ้าผวย) สมัยนั้นผมก็อ่านหนังสือจากตะเกียงนี่แหละ (ไม่สว่างขนาดไฟสมัยนี้ แต่สายตาผมก็ยังปกติจนถึงวันนี้) พูดถึงตะเกียง คงนึกถึงอะไรเท่ๆแบบนี้
แต่จริงๆ เป็นแบบนี้ตะหาก
บนหลังคาเล้าไก่มีตำลึงขึ้นอยู่ ผมชอบกินผัดตำลึงที่แม่ทำมากๆ พอๆกับผัดแตงกวา และกากหมู (ที่บ้านเรียกก่างหมู) ซึ่งทำให้ผมต้องใช้วิทยายุทธปีนขึ้นหลังคามุงแฝกขึ้นไปเด็ดตำลึงอยู่เป็นประจำ กับข้าวที่แม่ทำใช้เตาถ่าน หอมอร่อย (ถ่านก็เผากันเอง เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังวันหลัง) น้ำแช่ตู้เย็นผมไม่เคยรู้จัก จำได้ว่ามีญาติรุ่นเดียวกันซึ่งเป็นคนเมือง เคยมาในหมู่บ้านแล้วต้องอ้อนพ่อแม่กลับบ้าน เพราะไม่มีน้ำเย็นกิน ตอนนั้นผมรู้สึกประหลาดใจมากๆ
ความเจริญเริ่มเข้ามา พร้อมกับน้องชายคนกลาง ซึ่งเกิดมาพร้อมบ้านเสร็จ และไฟฟ้าเข้า ...
to be continued ...
No comments:
Post a Comment